bih.button.backtotop.text

วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

โรคบาดทะยักเป็นโรคที่ติดเชื้อในกลุ่มโรคทางประสาทและกล้ามเนื้อ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่มีออกซิเจน เชื้อนี้จะผลิตสารพิษ (exotoxin) ที่มีพิษต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา สปอร์ (spore) หรือสารพิษที่ถูกสร้างขึ้นทนทานต่อความร้อน สารเคมี และยาฆ่าเชื้อ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะในรูปแบบของสปอร์พบได้ตามพื้นดิน รวมถึงยังพบได้ในลำไส้ของคนและสัตว์ ในสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยมูลสัตว์ เชื้อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยผ่านทางบาดแผล โดยจะแบ่งตัวและขับสารพิษออกมา เชื้อเจริญได้ดีในแผลลึก อากาศเข้าได้ไม่ดี เช่น บาดแผลที่ถูกของแข็งทิ่มตำ แผลไฟไหม้ และที่สำคัญคือ เชื้อเข้าทางสายสะดือของทารกแรกเกิดที่ตัดด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด แต่โรคบาดทะยักไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้
 

อาการของโรคบาดทะยัก

หลังจากได้รับเชื้อ สปอร์ที่เข้าไปตามบาดแผลจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและผลิตสารพิษกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะฟักตัวของโรค (ระยะเวลาจากที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายจนเกิดอาการเริ่มแรก) ประมาณ 3-21 วัน (เฉลี่ย 8 วัน) อาการเริ่มแรกที่สังเกตพบคือ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ คอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วันจะเริ่มมีอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการอื่นนอกจากนี้ ได้แก่ มีไข้ เหงื่อออก ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็ว อาการเกร็งอาจคงอยู่ได้หลายนาทีและพบได้ต่อเนื่อง 3-4 สัปดาห์ และใช้เวลาหลายเดือนกว่าอาการจะหายสนิท การวินิจฉัยส่วนใหญ่อาศัยประวัติความเจ็บป่วยและอาการทางคลินิก
 

วิธีใช้วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

อายุ

เข็มที่ 1

เข็มที่ 2

เข็มที่ 3

เข็มที่ 4

น้อยกว่า 7 ปี

2 เดือน (DTaP)

4 เดือน (DTaP)

6 เดือน (DTaP)

15-18 เดือน (DTaP)

มากกว่า 7 ปี และผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน

วันที่ต้องการฉีดหรือวันที่เกิดอุบัติเหตุ (TdaP)

หลังจากเข็มแรก 1 เดือน (Td)

หลังจากเข็มที่สอง
6-12 เดือน (Td)

ฉีดกระตุ้นที่อายุ
11-12 ปี (TdaP) หลังจากนั้น ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี (Td)

DTaP = Diphtheria and tetanus toxoids with acellular pertussis vaccine
Tdap = Tetanus and diphtheria toxoids with acellular pertussis vaccine
Td = Tetanus and diphtheria toxoids


ควรทำอย่างไรหากไม่สามารถมาฉีดวัคซีนตามกำหนดนัด

หากผู้ป่วยไม่สามารถมารับการฉีดวัคซีนได้ตามเวลานัด โดยมาช้ากว่ากำหนด ผู้ป่วยสามารถฉีดวัคซีนเข็มต่อไปได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องให้วัคซีนเพิ่มหรือเริ่มฉีดเข็มแรกใหม่ หากฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มไปแล้วมากกว่า 10 ปี สามารถฉีดเข็มกระตุ้นได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มฉีดใหม่ทั้ง 3 เข็ม


ผลไม่พึงประสงค์จากวัคซีนป้องกันบาดทะยัก

อาการที่พบทั่วไปและไม่รุนแรง:

ไข้ต่ำ ปวดข้อ กล้ามเนื้อ คลื่นไส้ เหนื่อย อาการปวด คัน แดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดพาราเซตามอล หากอาการยังคงอยู่หรือเป็นมากขึ้นควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

อาการแพ้ที่รุนแรงพบได้น้อยมาก:

ผื่น คัน บวมที่หน้า ลิ้น และคอ มีอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก มือเท้าอ่อนแรง การได้ยินผิดปกติ กลืนลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชัก ดังนั้นควรพบแพทย์ทันที

**อย่างไรก็ตามอาการข้างต้นไม่ใช่อาการทั้งหมดของผลไม่พึงประสงค์จากวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ดังนั้นหากพบอาการผิดปกติอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุในเอกสารควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร**


ข้อควรระวัง

วัคซีนป้องกันบาดทะยักในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร โดยมีการฉีดเพื่อป้องกันทารกที่คลอดติดเชื้อบาดทะยัก สามารถฉีดได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 27-36 ของการตั้งครรภ์ โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน และครั้งที่สองควรต้องให้ก่อนคลอดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันผ่านไปยังทารกแรกเกิดในระดับที่สูงเพียงพอในการป้องกันโรคบาดทะยักได้ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าระดับภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูงและนานอย่างน้อย 5 ปี ปัจจุบันจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนบาดทะยักเข็มที่ 3 ในระยะ 6 เดือนหลังเข็มที่ 2 ส่วนเข็มที่ 4 และเข็มที่ 5 ควรฉีดหลังจากเข็มที่ 3 เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ หรือฉีดเมื่อตั้งครรภ์ครั้งถัดไป เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถป้องกันได้ตลอดชีวิต
 

อันตรกิริยาระหว่างยา (ผลต่อยาอื่น)

วัคซีนป้องกันบาดทะยักสามารถใช้ร่วมกับวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอื่นและให้ได้พร้อมกันกับการฉีดอิมมูโนโกลบูลินต้านพิษบาดทะยักโดยให้แยกเข็มและฉีดต่างบริเวณกัน ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันอาจมีการตอบสนองของวัคซีนต่อภูมิคุ้มกันต่ำ
 

เอกสารอ้างอิง




 

รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 14 มีนาคม 2568

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

Related Health Blogs