bih.button.backtotop.text

ภาวะทารกในครรภ์บวมน้ำ

Hydrops หมายถึงการมีสารน้ำสะสมในเนื้อเยื่อหรือช่องว่างในร่างกายที่มากผิดปกติ 
 Hydrops fetalis หมายถึงทารกบวมน้ำทั้งตัว ตรวจพบการสะสมของสารน้ำอย่างผิดปกติในร่างกายทารถอย่างน้อย 2 ตำแหน่งขึ้นไป เช่น น้ำในช่องช่องปอด (pleural effusion) น้ำในช่องหัวใจ (pericardial effusion) น้ำในช่องท้อง (ascites) หรือมีการสะสมของน้ำเพียง 1 ตำแหน่ง ร่วมกับทารกมีภาวะบวมทั่วตัวโดยการวินิจฉัย

ไม่นับรวมภาวะน้ำคร่ำมากกว่าปกติ (polyhydramnios) และนอกจากนี้ยังพบร่วมกับรกขนาดใหญ่ผิดปกติ  (placentomegaly) โดยมีการศึกษาพบว่าอัตราการตายจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนตำแหน่งการสะสมของน้ำ

ทารกบวมน้ำ สามารถเกิดได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ไตรมาสแรกจนถึงครรภ์ครบกำหนด

อุบัติการณ์

ในประเทศไทยพบว่ามีอัตราการเกิดทารกบวมน้ำ 1.8:1000 ของการเกิดมีชีพ และ มีอัตราการตายร้อยละ 98.78

สาเหตุที่ทำให้ทารกในครรภ์บวมน้ำมี 2 ลักษณะ ดังนี้

1.   ทารกบวมน้ำที่เกิดจากปฏิกิริยาอิมมูน (immune hydrops fetalis; IHF)

หมายถึงทารกบวมน้ำที่เกิดจากแอนตี้บอดี้ในมารดาผ่านรกไปทำลายเม็ดเลือดทารก ทำให้ทารกมีภาวะซีด และเกิดปัญหาภาวะบวมน้ำตามมา ซึ่งที่พบได้บ่อยที่สุดคือปัญหาการไม่เข้ากันของหมู่เลือด Rh ระหว่างมารดากับทารก พบในประเทศตะวันตก ประมาณ 10.6:10,000 การคลอดมีชีพ

2.   ทารกบวมน้ำที่ไม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาอิมมูน (non-immune hydrops fetalis; NIHF)

เกิดจากความผิดปกติของทารกเอง เช่น โรคหัวใจพิการ cystic hygroma หรือความผิดปกติทางโครโมโซม ภาวะทารกมีโครโมโซมผิดปกติคนไทยพบฮีโมโกลบินบาร์ทร้อยละ 80 ของทารกบวมน้ำทั้งหมด และเป็นความผิดปกติโดยกำเนิดชนิดรุนแรงที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 1:250-1:400 ของการคลอด นับว่าสูงมากเนื่องจากอยู่ในแหล่งความถี่ของยีนส์แอลฟ่าธาลัสซีเมียชุกมาก ส่วนสาเหตุที่เกิดจาก Rh isoimmunization ซึ่งนับเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของทารกบวมน้ำในประเทศทางตะวันตกนั้นกลับพบในประเทศไทยได้น้อยมาก นอกจากนั้นทารกบวมน้ำที่ไม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาอิมมูน ในบางรายก็อาจเกิดจากการติดเชื้อจากในครรภ์ได้

อาการบวมน้ำจะเกิดขึ้นกับร่างกายของทารกในครรภ์ดังนี้

  • น้ำในช่องท้อง (ascites) ซึ่งมีได้หลายระดับความรุนแรง พบได้เกือบทุกราย มักเป็นอาการแสดงแรก ๆ ของทารกบวมน้ำ
  • น้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion) บางรายอาจจะเกิดก่อนน้ำในช่องท้องด้วยซ้ำไป
  • น้ำในช่องปอด (pleural effusion) ในรายที่มีปริมาณมากจะสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
  • ชั้นใต้ผิวหนังบวม (subcutaneous edema)
  • ตับ ม้ามโต ซึ่งเป็นผลจากการสร้างเม็ดเลือดเลือดนอกไขกระดูกเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภาวะซีด
  • ปริมาณน้ำคร่ำ มีรายงานจำนวนมากพบว่าครรภ์แฝดน้ำพบได้บ่อยขึ้นมากในทารกบวมน้ำ แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าส่วนใหญ่แอลฟ่าธาลัสซีเมียที่ทารกบวมน้ำชัดเจนแล้วจะกลับมีน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติมาก และรายที่มีครรภ์แฝดน้ำมักจะเป็นทารกบวมน้ำจากความพิการโดยกำเนิดอื่นเป็นส่วนใหญ่ มีรายงานว่าพบครรภ์แฝดน้ำได้สูงร้อยละ 50-75 ของทารกบวมน้ำชนิดไม่เกี่ยวกับอิมมูน
  • รกหนาผิดปกติ ภาวะรกหนาผิดปกติพบได้บ่อยในทารกที่มีภาวะบวมน้ำ การวินิจฉัยภาวะรกหนาผิดปกติ จะใช้ความหนาของรกที่มากกว่า 6 เซนติเมตร แต่ในบางครั้งหากมีภาวะครรภ์แฝดน้ำ รกอาจจะถูกกดให้บางจนเท่าปกติได้
  • เชื้อชาติของหญิงตั้งครรภ์และสามี สามารถบ่งบอกได้ถึงความชุกของโรค เช่น Hb Bart's hydrop fetalis หรือ Rh isoimmunization ที่มีความชุกต่างกันในแต่ละเชื้อชาติอย่างชัดเจน
  • โรคประจำตัว เช่น ในมารดาเป็น connective tissue disease อาจทำให้ทารกมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจำพวก heart block หรือประวัติมารดาเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ก็จะเพิ่มโอกาสการเป็นธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงในลูกได้
  • อาการ เช่น หากมารดามีอาการคล้ายการติดเชื้อไวรัส อาจมีความเป็นไปได้ว่ามีการติดเชื้อ Pavovirus B19 ซึ่งจะติดต่อผ่านทางการหายใจหรือการสัมผัส
  • ประวัติการตั้งครรภ์ในปัจจุบัน เช่น อายุครรภ์, การใช้ยาขณะตั้งครรภ์, โรคติดเชื้อที่เกิดขณะตั้งครรภ์, ครรภ์แฝด
  • ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง(Ultrasound) ใช้เพื่อการวินิจฉัย รวมถึงตรวจติดตามอาการของทารกในครรภ์ โดยอาจตรวจพบลักษณะต่างๆ เช่น หัวใจโต รกหนา น้ำคร่ำมากผิดปกติ หรือมีความผิดปกติอื่นๆในทารกที่มีภาวะซีด รวมถึงการตรวจพบลักษณะจำเพาะต่างๆ ในโครโมโซมผิดปกติบางชนิด การตรวจพบเนื้องอกที่รก หรือการตรวจ fetal echocardiography แล้วพบความผิดปกติของหัวใจ
  • ตรวจหมู่เลือด ทั้ง ABO และ Rh blood group, indirect Coomb's test ในรายที่สงสัย hemolytic anemia
  • ตรวจนับเม็ดเลือด (CBC) รวมถึง red blood cell indices เช่น Mean corpuscular volume (MCV) และ peripheral blood smear
  • ตรวจหาภาวะติดเชื้อ intrauterine infection ที่ส่งผลให้เกิดทารกบวมน้ำ ได้แก่ syphilis, pavovirus B19, cytomegalovirus, toxoplasmosis, adenovirus hepatitis
  • ตรวจหาความเสี่ยงการเกิดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงของทารกในครรภ์ เช่นความเสี่ยงในการเกิดฮีโมโกลบิน Bart's disease, ฮีโมโกลบินเอช และอื่นๆ
  • การเจาะน้ำคร่ำ (amniocentasis) สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับ karyotype รวมถึงส่งตรวจเพื่อหา intrauterine infection เช่น PCR หรือ culture เพื่อหาเชื้อ
  • การเจาะเลือดสายสะดือทารก (cordocentasis or fetal blood sampling)

ภาวะทารกในครรภ์บวมน้ำ เป็นภาวะเสี่ยงอันตรายต่อทารกในครรภ์ ในกรณีที่ทารกมีอาการรุนแรง ไม่สามารถรักษาได้ เช่น มีโครโมโซมผิดปกติ เป็นธาลัสซีเมียชนิด Bart’s หรือทารกมีความพิการอย่างรุนแรง แพทย์อาจจะพิจารณาให้ยุติการตั้งครรภ์ ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์ควรใส่ใจกับการฝากครรภ์ ไปพบแพทย์ตามนัด การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) หาสิ่งผิดปกติในแต่ละไตรมาส  รวมทั้งควรสังเกตอาการผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อจะได้วินิจฉัยหาสาเหตุการเกิดโรค และการรักษาอย่างทันท่วงที

Related Treatments

Doctors Related

Related Centers

ศูนย์สูติ-นรีเวช

ดูเพิ่มเติม

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

คะแนนโหวต NaN of 10, จากจำนวนคนโหวต 0 คน

Related Health Blogs