มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงจำนวน มาก เนื่องจากเป็นโรคที่มีโอกาสเกิดได้ง่าย จึงไม่น่าแปลกใจที่ในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยรายใหม่มากถึง 500,000 คนทั่วโลก ทั้งยังเป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย โชคดีที่มะเร็งชนิดนี้คุณสามารถป้องกันได้
สาเหตุของโรค
มะเร็งปากมดลูกนั้นส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงวัย 30 - 55 ปี โดยมีสาเหตุหลายประการ แต่สาเหตุสำคัญที่สุดได้แก่
ไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากสถิติพบว่าผู้หญิงถึงประมาณร้อยละ 80 ติดเชื้อ HPV ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โดยไวรัสตัวนี้จะใช้เวลาเฉลี่ยราว 5 - 10 ปีในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อปากมดลูกปกติให้กลายเป็นมะเร็งปากมดลูก
ส่วนปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคก็ได้แก่ การฉีกขาดของช่องคลอดในกรณีของผู้หญิงที่มีบุตรหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ การไม่รักษาสุขอนามัยบริเวณช่องคลอดหรืออวัยวะเพศของสามี การอักเสบและมีแผลที่ปากมดลูกและทิ้งไว้โดยไม่ได้รักษา มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงการสูบบุหรี่และดื่มสุราก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้เช่นกัน
มะเร็งปากมดลูกนั้น หากไม่ถูกตรวจพบหรือรักษาแต่เนิ่นๆ มะเร็งจะลามจากปากมดลูกไปยังอวัยวะเพศและเนื้อเยื่อชั้นในรอบๆ มดลูก จากนั้นจะแพร่ลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองและกระดูกเชิงกราน ส่งผลให้ไต กระเพาะปัสสาวะ ตับ และปอดทำงานผิดปกติ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
การรักษามะเร็งปากมดลูก
แพทย์แบ่งความรุนแรงของ
มะเร็งปากมดลูกออกเป็นขั้นๆ ตามขนาดของมะเร็งและการแพร่กระจายของโรค นั่นคือ ในระยะที่ 1 มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก ระยะที่ 2 มะเร็งจะลุกลามจากปากมดลูกไปด้านข้าง ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปจนถึงอุ้งเชิงกราน และระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย มะเร็งได้กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ อาทิ กระเพาะปัสสาวะและทวารหนัก ซึ่งในการรักษานั้น สามารถทำได้ 3 วิธีตามความรุนแรงของโรค ได้แก่
การผ่าตัด – การผ่าตัดเอามดลูกออกนั้นมักใช้ในการรักษามะเร็งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ขั้นต้น นั่นคือเซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูกและช่องคลอด เป็นต้น แพทย์จะผ่าตัดเอาปากมดลูก มดลูก ช่องคลอดส่วนต้นและต่อมน้ำเหลืองในบริเวณนั้นออก
การให้ยาเคมีบำบัด – แพทย์อาจใช้วิธีการรักษาแบบเคมีบำบัดอย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับการรักษาแบบอื่น เช่น ยา หรือรังสีรักษา เนื่องจากการรักษาโดยเคมีจะทำให้ผลของการรักษาโดยรังสีได้ผลดีมากขึ้น
การใช้รังสีรักษา – วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่เป็น
มะเร็งปากมดลูกระยะที่ 2 ขึ้นไป หรือผู้ป่วยที่มีโรคอื่นที่ทำให้ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ เช่น โรคอ้วนหรือแพ้ยาสลบ
ทั้งนี้
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการตรวจพบแต่เนิ่นๆ
มะเร็งที่คุณป้องกันได้
การป้องกันตัวเองจาก
มะเร็งปากมดลูกนั้นไม่ใช่เรื่องยากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการรักษา โดยคุณสามารถป้องกันโรคร้ายนี้ได้ด้วยการทำ Pap Test การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV และลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
Pap Test การตรวจคัดกรองที่ให้ผลดีที่สุด
เฉพาะในประเทศไทย มีผู้หญิงวัย 35 ปีขึ้นไปมากถึง 14 ล้านคนที่มีโอกาสติดเชื้อ HPV แต่มีเพียง 800,000 รายเท่านั้นที่เข้ารับการตรวจคัดกรอง ทำให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติประเมินว่า ในปี 2008 นี้อาจมีผู้ป่วยจาก
มะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้นถึง 8,000 ราย
การทำ Pap test เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ให้ผลดีที่สุดเมื่อเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ โดยมีประเภทของการตรวจ ดังนี้
Pap smear เป็นการตรวจภายในร่วมกับการตรวจทางเซลล์วิทยาเพื่อหาความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากเชื้อ
มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดใส่เข้าไปอวัยวะเพศแล้วนำตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกมาตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ หากพบว่าเซลล์มีความผิดปกติแพทย์จะทำการส่องกล้องตรวจปากมดลูก (Colposcopy) หรือตัดชิ้นเนื้อส่วนที่ผิดปกติจากปากมดลูกไปตรวจ (Biopsy)
ThinPrep เป็นการตรวจคัดกรอง
มะเร็งปากมดลูกทางเซลล์วิทยาเช่นเดียวกับ Pap smear แต่ให้ผลการตรวจที่ละเอียดกว่าถึงร้อยละ 65 โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้คุณเข้ารับการตรวจ Thin Prep เนื่องจากสามารถตรวจหาความผิดปกติของเซลล์มะเร็งปากมดลูกได้ดีกว่าวิธีการตรวจแบบ Conventional Pap Smear สมัยก่อน
ThinPrep Plus HPV Test เป็นการตรวจทางชีวโมเลกุลร่วมกับการตรวจ Pap Test เพื่อหาเชื้อไวรัส HPV โดยตรง ซึ่งการตรวจแบบนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรอง
มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกได้ถึงร้อยละ 90 - 100 โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างเซลล์เพื่อทำการตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ และเซลล์ที่เหลือจะนำมาใช้ตรวจ HPV โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างซ้ำซ้อนซึ่งจะสะดวกแก่ผู้มารับการตรวจ
ป้องกันไว้ก่อนด้วยวัคซีน HPV
การอนุมัติใช้วัคซีนป้องกันเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของ
โรคมะเร็งปากมดลูกในปี พ.ศ. 2549 นับเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกได้ เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวจะช่วยป้องกันเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งพบในผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70
การให้วัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส HPV ต้องให้สามครั้งในระยะเวลาหกเดือนและให้ประสิทธิภาพในการป้องกันได้ถึงร้อยละ 100 ตามการวิจัย ทั้งนี้แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 9 - 26 ปี ฉีดวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หรือในรายที่มีเพศสัมพันธ์แล้วแต่ยังไม่ติดเชื้อ HPV และแม้ในผู้หญิงที่ได้รับเชื้อไวรัสไปแล้วสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มได้ โดยวัคซีนจะสามารถป้องกันโรคได้อย่างน้อย 5 ปี และกำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยว่าหลังจาก 5 ปีแล้วควรฉีดซ้ำหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับวัคซีนแล้ว ผู้หญิงก็ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง
มะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากวัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV บางชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกเท่านั้น ไม่ใช่เชื้อ HPV ทั้งหมดซึ่งมีอยู่หลายร้อยสายพันธุ์ ที่สำคัญยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้อีก ดังนั้นแม้ได้รับวัคซีนแล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นๆ และยังคงเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกจากสาเหตุอื่นได้อีก
สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการฉีดวัคซีนคงมีเพียงอาการปวดบวมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่จะไม่มีการแพร่เชื้อไวรัสจากการฉีดวัคซีน ทั้งนี้สำหรับสตรีมีครรภ์และผู้ที่แพ้ส่วนผสมบางอย่างของวัคซีนไม่ควรรับการฉีดวัคซีนดังกล่าว
ลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
การรักษาสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศทั้งของตัวเองและคู่ครองจะช่วยป้องกันคุณจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ขณะที่การสวมถุงยางอนามัยสามารถลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสแม้จะไม่ได้กำจัดเชื้อก็ตาม
นอกจากนี้แล้ว คุณผู้หญิงยังไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไปหรือก่อนอายุ 18 ปี ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนหลายคน หรือมีบุตรมาก ที่สำคัญหากคุณงดการสูบบุหรี่ได้ นั่นหมายถึงคุณลดความเสี่ยงในการเป็น
โรคมะเร็งปากมดลูกได้มากทีเดียว
เพราะการป้องกันย่อมง่ายกว่าการรักษา อย่าปล่อยให้ตัวคุณและคนที่คุณรักต้องเสี่ยงกับ
โรคมะเร็งปากมดลูก ด้วยการพบแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองประจำปี ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV และหมั่นดูแลสุขภาพเสียตั้งแต่วันนี้
สัญญาณเตือนภัย
มะเร็งปากมดลูก
- มีเลือดออกขณะหรือภายหลังมีเพศสัมพันธ์
- หลังประจำเดือนหมดก็ยังมีเลือดออกอยู่
- มีเลือดออกเพียงกะปริดกะปรอยคล้ายประจำเดือน
- มีเลือดออกนานหลายวัน หรืออาจออกทั้งเดือน
- เลือดคล้ายประจำเดือนออกมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยกว่าปกติ
- มีตกขาวหรือตกเหลืองมาก กลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา
- ช่วงระยะที่มีตกขาวออกมาก บางครั้งอาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย
- เบื่ออาหาร ซูบซีด ผอม และอ่อนเพลีย
สถิติน่าสนใจเกี่ยวกับ
มะเร็งปากมดลูก
- ในประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกวันละ 7 ราย
- จากการเก็บข้อมูลครั้งล่าสุดเมื่อปี 2545 มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกทั่วโลก 275,000 ราย และตรวจพบมะเร็งเกิดใหม่จำนวน 500,000 ราย
- ศจ.ฮาราลด์ ซัวร์ เฮ้าสเซ่น นักวิจัยด้านมะเร็งชาวเยอรมันได้ค้นพบความเกี่ยวพันระหว่างโรคมะเร็งปากมดลูกและฮิวแมน แพพพิโลมาไวรัสหรือเอชพีวีในต้นทศวรรษ 80 การค้นพบครั้งนี้ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี 2551
- ไวรัสเอชพีวีเป็นไวรัสที่ติดต่อกันมากที่สุดทางเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงจำนวนร้อยละ 80 จะได้รับเชื้อในช่วงใดช่วงใดหนึ่งของชีวิต อัตราการติดเชื้อที่พบมากที่สุดคือช่วงอายุระหว่าง 18 ถึง 28 ปี
- แม้ส่วนมากร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้เอง แต่ในรายซึ่งได้รับเชื้อสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงนั้น อาจกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ในที่สุด
- วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนั้นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ซึ่งเป็นอันตรายอันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 29 มีนาคม 2565