แสบร้อนกลางอก หรือเรอเปรี้ยว....ใช่โรคกรดไหลย้อนหรือเปล่านะ?
หากคุณมีอาการแสบร้อนกลางอก หรือเรอเปรี้ยว ขมในปาก อาการเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) เพราะเมื่อสารคัดหลั่งหรืออาหารไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหาร คอ หรือปาก ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการอื่นๆ ตามมา ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดได้กับทุกช่วงวัย และกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีน้ำหนักมาก ดื่มสุรา สูบบุหรี่ กำลังตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคผิวหนังแข็ง (scleroderma) เป็นต้น
*แต่บางอาการของโรคกรดไหลย้อน เช่น เจ็บคอ เสียงแหบ ไอเรื้อรัง อาการทางช่องปาก หรืออาการจุกแน่นหน้าอก อาจมาจากสาเหตุอื่น ผู้ป่วยจึงควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านนั้นๆ เพื่อวินิจฉัยก่อน หากไม่พบสาเหตุจึงอาจเกิดจากโรคกรดไหลย้อนได้
อาการของโรคกรดไหลย้อน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
อาการของหลอดอาหาร
- แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ กลางหน้าอก
- มีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
อาการนอกหลอดอาหาร (หากมีอาการดังนี้ ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เฉพาะทางก่อน)
- เจ็บหน้าอก โดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
- เจ็บคอ หรือเสียงแคบเรื้อรัง
- ไอเรื้อรัง
- อาการทางช่องปาก เช่น มีกลิ่นปาก ฟันผุ
รู้ไหมสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนมีอะไรบ้าง?
- รับประทานอาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง
- รับประทานอาหารมากเกินไป และนอนทันทีหลังรับประทานเสร็จ
- สูบบุหรี่
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เป็นประจำ
- ความเครียด
- ภาวะที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารหย่อน เช่น การใช้ยาขยายหลอดลม
กรดไหลย้อน รักษาเองได้ไหม...หรือต้องไปหาหมอ?
จริงอยู่ที่โรคนี้ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่รีบรักษาก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ หากผู้ป่วยมีอาการสำคัญที่เด่นชัด แพทย์จะให้การวินิจฉัยและรักษาเบื้องต้นในทันที หากผู้ป่วยได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การเอ็กซ์เรย์กลืนสารทึบแสง การตรวจการทำงานของหลอดอาหาร ซึ่งวิธีวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุด คือ การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหารและการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร
โดยการรักษาสามารถแบ่งได้ดังนี้
- รักษาโดยไม่ใช้ยา เช่น การลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมาก, งดสูบบุหรี่, งดดื่มแอลกอฮอล์, งดดื่มน้ำอัดลม, งดทานอาหารรสจัด หรือมีไขมันสูง และหลีกเลี่ยงการทานอาหารอย่างน้อย 3 ช.ม.ก่อนเข้านอน และให้นอนศีรษะสูง หรือนอนตะแคงซ้ายในผู้ที่มีอาการตอนกลางคืน เป็นต้น
- รักษาโดยใช้ยา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้แก่ ยา H2-blockers ยากลุ่มนี้สามารถลดการหลั่งกรดและบรรเทาอาการได้บางส่วน อีกกลุ่มหนึ่งคือ ยา proton-pump inhibitors ยากลุ่มนี้สามารถลดกรดได้มากกว่ายากลุ่มแรก ในปัจจุบันการรักษาด้วยยาให้ผลการรักษาที่ดี แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานานกว่าการรักษาโรคแผลในกีเพราะอาหารทั่วไป
- รักษาโดยการผ่าตัด เฉพาะในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือผู้ป่วยที่รักษาด้วยยามาเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ป่วยที่มีผลแทรกซ้อนจากโรคกรดไหลย้อน เช่น มีแผลในหลอดอาหาร หลอดอาหารตีบหรือมีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุหลอดอาหาร เช่น Barrett’s esophagus
โรคกรดไหลย้อน สามารถกลายเป็นมะเร็งได้หรือไม่?
มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่น้อยมาก โดยเฉพาะคนไทยและเอเชีย ที่มีอาการอักเสบของหลอดอาหารไม่รุนแรงนัก แต่หากมีระดับความรุนแรงมาก ก็จะมีโอกาสเกิดความผิดปกติของเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเป็น
มะเร็งหลอดอาหารได้
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 06 กรกฎาคม 2567