ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดมาจากการติดเชื้อโรคต่างๆ ตั้งแต่เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสและเชื้อรา โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ติดเชื้อโรคอื่นๆ เกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายหยุดต่อสู้กับเชื้อโรคและกลับมาทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในร่างกายของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้เกิดการอักเสบทั่วทั้งร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะในร่างกายทำงานล้มเหลวในที่สุด เป็นภาวะที่อันตรายต่อชีวิตและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
สาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือดที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- การติดเชื้อที่ปอด เช่น ปอดบวม
- การติดเชื้อทางเดินอาหารและตับ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ
- การติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น การติดเชื้อที่สมองหรือไขสันหลัง
- การติดเชื้อที่ผิวหนัง
ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่
- ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เด็กทารกและสตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและโรคไต
- ผู้ที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าสู่ร่างกาย เช่น สายสวนปัสสาวะ สายสวนหลอดเลือดดำหรือท่อช่วยหายใจ
- ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น มีแผลขนาดใหญ่
- ผู้ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล
อาการของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดมีอย่างไรบ้าง
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเกิดขึ้นได้หลายแห่งในร่าง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่หลากหลายแตกต่างกัน โดยทั่วไปผู้ป่วยอาจอาการดังนี้
- หัวใจเต้นเร็วหรือชีพจรอ่อน หายใจเร็วและตื้น
- มีไข้ หนาวสั่น
- มีผื่นที่ผิวหนัง
- ผิวหนังอุ่นและมีเหงื่อออกโดยไม่ทราบสาเหตุ
- รู้สึกสับสน
- รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตัว
- อาการบางอย่างที่แสดงถึงการติดเชื้อเฉพาะที่ เช่น ปัสสาวะเจ็บแสบจากการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะหรืออาการไอที่แย่ลงจากการติดเชื้อที่ปอด
หากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงจนถึงขั้นช็อค (septic shock) ผู้ป่วยจะรู้สึกสับสนอย่างมาก มีอาการง่วงซึมและไม่สามารถยืนขึ้นได้
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์และแพทย์มีวิธีรักษาอย่างไร
ผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดหรือมีการติดเชื้อที่ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโดยทันที ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นเรื่องฉุกเฉินที่อาจต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนในแผนกผู้ป่วยหนัก (ICU) การรักษารวมถึงการให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อโรคที่สงสัย การนำเลือดไปเพาะเชื้อและปรับยาปฏิชีวนะให้ตรงกับโรค การให้น้ำเกลือ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องได้รับยากระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor) หรือการผ่าตัดเพื่อนำเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายออกไป
ป้องกันภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้อย่างไร
- รักษาสุขอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆ
- รักษาความสะอาดของแผลและปิดแผลจนกว่าแผลจะหาย
- ดูแลโรคประจำตัวที่เรื้อรังให้ดี พบแพทย์ตามที่นัดหมาย
- หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อให้รีบไปพบแพทย์
- ฉีดวัคซีนตามคำแนะนำ
ศูนย์รักษาแผลแบบองค์รวม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีทีมแพทย์และสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยที่มีแผลและโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการรักษาแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
การรักษาด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) การรักษาด้วยเลเซอร์ (Photo Therapy: Healite II LED) พร้อมด้วยอุปกรณ์ทำแผลขั้นสูงเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 01 กรกฎาคม 2567