Human immunodeficiency virus หรือเอชไอวี (HIV) เป็นเชื้อในกลุ่มของ retrovirus จัดอยู่ใน family Retroviridae มีจีโนมเป็น RNA เป็นเอชไอวีไวรัสที่เป็นสาเหตุของ
โรคเอดส์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ HIV-1 และ HIV-2 เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่ได้ทางเลือดหรือสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย
ช่องทางติดต่อเชื้อเอชไอวีที่สำคัญ
- ทางเพศสัมพันธ์ เป็นช่องทางติดต่อแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุด โดยอัตราติดเชื้อร้อยละ 80
- ติดต่อจากแม่สู่ลูก
- ผ่านเข้าทางผิวหนัง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การได้รับเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะจากการบริจาคมีการปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี รวมทั้งการได้รับเชื้อจากอุบัติเหตุทางการแพทย์ โดยเฉพาะถูกเข็มตำหรือของมีคมบาด
กลุ่มบุคคลที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความเสี่ยงโดยไม่ป้องกัน
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายทางทวารหนักโดยไม่ใช้ถุงยาง
- ผู้ติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ผู้ติดสารเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกัน
- หญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับฝากครรภ์ที่สถานพยาบาล
- ทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ป่วยวัณโรค
- บุคลากรทางการแพทย์เกิดอุบัติเหตุจากการทำหัตถการที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
การตรวจและวินิจฉัย
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหลายรายไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ วิธีตรวจวินิจฉัยที่ได้รับการยอมรับในการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี มีหลายวิธี ซึ่งทุกวิธีควรปรึกษาแพทย์
วิธีในการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่
- การตรวจหาแอนตีบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี (anti –HIV testing) เป็นการทดสอบที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายที่สุด สามารถตรวจพบได้หลังสัมผัสเชื้อในช่วงเวลา 23-90 วัน
- การตรวจหาสารทางพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวีหรือวิธี nucleic acid testing (NAT) สำหรับการตรวจ HIV RNA หรือ proviral DNA มีการใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตามปริมาณไวรัส (viral load) ก่อนและหลังการรักษา
หลักการ ในระยะแรกวิธี NAT ได้ถูกนำมาใช้ตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี เช่น การติดเชื้อเอชไอวีระยะเฉียบพลันในช่วง 10-33 วันหลังจากมีการมีความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งแอนติบอดีให้ผลลบ และการตรวจวินิจฉัยทารกแรกเกิดที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถใช้แอนติบอดีแปลผลได้ เพราะมีแอนติบอดีผ่านมาจากแม่
วิธี NAT ใช้ตรวจหาไวรัสในเชิงปริมาณ (viral load assays) เพื่อตรวจติดตามประเมินผลการรักษา แต่ไม่สามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีได้
วิธีการรายงานผล anti-HIV เพื่อการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
ผลการตรวจและรายงานต่างๆ ต้องรักษาไว้เป็นความลับ วิธีการรายงานผลมีดังนี้
- รายงานผลเป็นลบ (anti-HIV negative) เมื่อผลการตรวจโดยชุดตรวจแรกเป็นไม่มีปฏิกิริยา (non-reactive)
- รายงานผลเป็นบวก (anti-HIV positive) เมื่อผลการตรวจทั้ง 3 ชุด ตรวจโดยห้องปฏิบัติการเดียวกันให้ผลมีปฏิกิริยา (reactive) ตรงกัน
- รายงานผลสรุปผลไม่ได้ว่าติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ (inconclusive)
สาเหตุของผลการทดสอบที่สรุปไม่ได้ (Inconclusive result)
การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี แม้ว่าจะมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนทำให้สามารถรายงานผลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติอาจพบการแปลผลที่สรุปผลไม่ได้ (inconclusive) เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างตั้งแต่ธรรมชาติและระยะเวลาของการติดเชื้อ ซึ่งระยะแรกของการติดเชื้ออาจพบแอนติบอดีในระดับต่ำ ต้องอาศัยการตรวจหา HIV genome
การใช้เทคนิค NAT
เพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตัดสินผลที่สรุปการติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้หรือผลก้ำกึ่งของวิธีการตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยา หรือใช้วิธีการติดตามเจาะเลือดตรวจซ้ำเป็นระยะๆ จนครบกำหนดระยะ window period (ช่วงเวลาที่ผู้ได้รับเชื้อมาแต่ยังตรวจไม่พบเชื้อ)
ติดต่อสอบถามกับทีมพยาบาลผู้ให้คำปรึกษา (Clinical Nurse Coordinator)
เบอร์โทร 081-8403894
เวลาสำหรับให้คำปรึกษา 08.00-17.00 น.
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2565