bih.button.backtotop.text

5 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคแพ้อาหาร

  1. โรคแพ้อาหารคืออะไร
ภาวะแพ้อาหารเป็นปฏิกิริยาทางอิมมูนที่ตอบสนองไวผิดปกติต่ออาหารที่รับประทาน โดยอาการอาจเป็นแบบ เฉียบพลัน โดยมักมีอาการหลังจากรับประทานอาหารชนิดนั้นทันที หรือภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และบางครั้งอาจมีอาการรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ (ได้แก่มีอาการผิวหนัง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ความดันโลหิตต่ำ) นอกจากนี้อาการอาจเกิดช้าหลายสัปดาห์หลังจากรับประทานอาหาร ซึ่งอาการที่พบได้แก่ ผื่นแพ้ผิวหนัง (eczema)  ปวดท้อง ถ่ายเหลว อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
 
  1. ข้อแตกต่างระหว่าง food allergy และ food intolerance คืออะไร
คำว่า  food intolerance นั้นไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาทางอิมมูน แต่เกิดความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม ที่ทำให้ไม่สามารถย่อยอาหารชนิดนั้นได้สมบูรณ์ มักจะมีอาการเล็กน้อย ไม่รุนแรง เช่น ภาวะท้องเสียจากขาดเอ็นไซม์ แลคโตส (lactose intolerance) ซึ่งอาการที่พบได้แก่ ถ่ายเป็นน้ำ ท้องอืด มีแก๊สในท้อง ลำไส้แปรปรวน นอกจากนี้อาจมีอาการจากไม่สามารถย่อยอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีการดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และมักอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติสูง (Fermentable Oligosaccharides Disaccharides Monosaccharide and Polyols; FODMAPS) โดยคนไข้จะมีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หลังทานอาหารในกลุ่มนี้ หรืออาจเกิดไมเกรน  จากหลังทานอาหารบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์, ช็อกโกแล็ต, ชีส, ผงชูรส, แอสปาแตม, คาเฟอีน, ถั่ว และอาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรท์
 
  1. อาการของแพ้อาหารที่พบบ่อยคืออะไร
วิธีสังเกตุอาการของโรคแพ้อาหาร แบ่งเป็นสองกรณี
  • อาการเรื้อรังเป็นๆหายๆ  ที่หาสาเหตุไม่ได้ เช่น คันตามตัว ผิวหนังอักเสบ ท้องอืด ท้องเสียเรื้อรัง อาเจียนบ่อย ถ่ายเป็นเลือด โดยมักเกิดจากปฏิกิริยาที่ไม่ผ่านอิมมูนชนิด IgE หรือเกิดจากปฎิกิริยาชนิดผสม ที่ผ่าน IgE ได้ ส่วนใหญ่อาการมักเกิขึ้นหลังรับประทานอาหารไปหลายสัปดาห์
  • อาการเฉียบพลัน  ได้แก่ ผื่นคัน ลมพิษหน้าบวม ตัวบวม แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก กลืนลำบาก หากมีอาการรุนแรง หลายระบบหรือที่เราเรียกว่า anaphylaxis ให้รีบไปโรงพยาบาล ซึ่งอาการแบบนี้มักเกิดขึ้นรวดเร็วหลังทานอาหาร และจะเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันชนิด IgE ต่ออาหารชนิดนั้นที่สูง
ควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการทางผิวหนังหรือทางเดินอาหารเป็นๆหายๆ หรืออาการทันทีหลังได้รับอาหาร  หรืออาจมีอาการหลายๆระบบโดยที่หาสาเหตุไม่ได้
 
  1. อาหารที่ทำให้แพ้ได้บ่อยมีอะไรบ้าง
อาหารที่ทำให้แพ้ได้บ่อยในเด็ก ได้แก่ นมวัว นมถั่วเหลือง ไข่ อาหารทะเล แป้งสาลี ถั่ว  เป็นต้น ส่วนอาหารชนิดอื่นอาจทำให้แพ้ได้ และพบมากในผู้ใหญ่ได้แก่ เช่น อาหารทะเล ถั่ว ผลไม้บางชนิด เนื้อสัตว์
 
  1. การตรวจเพิ่มเติมที่ช่วยในการวินิจฉัยแพ้อาหาร ต้องอาศัยประวัติร่วมกับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ ซึ่งวิธีที่ใช้บ่อยได้แก่
5.1 การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือ skin prick test (SPT)
วิธีนี้อาจให้ทราบคร่าวๆว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นจากอาหารหรือไม่ แต่ว่ามีความไวและความจำเพาะยังต่ำ เหมาะสำหรับใช้คัดกรองเบื้อต้น โดยกรณีที่ทดสอบให้ผลบวก ก็จะแพ้จริงประมาณร้อยละ 50 เพราะคนที่ไม่แพ้อาหารก็อาจให้ผลบวกได้ แต่กรณีที่ให้ผลลบ ก็แสดงว่าไม่เป็นแพ้อาหารถึงร้อยละ 95 แสดงว่าการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง เหมาะสำหรับที่จะแยกโรคออกมากกว่า นอกจากนี้การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังคนไข้ควรเตรียมตัวก่อนมาทดสอบ โดยงดยาต้านฮีสามีน (ยาแก้แพ้) ก่อนมาทดสอบอย่างน้อย 5-7 วัน และทราบผลภายใน 15 นาที
 
5.2 การตรวจเลือดวัดระดับ specific IgE หรือ IgE ที่จำเพาะต่ออาหารชนิดนั้น
เหมาะสำหรับเด็กเล็กที่อาจให้ผลทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังเป็นลบได้ หรือกรณีคนไข้สามารถงดยาแพ้ได้ หรือไม่สามารถทดสอบทางผิวหนังได้  ซึ่งให้ผลไม่ค่อยต่างกันกับการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง เหมาะสำหรับใช้คัดกรองว่าเป็นแพ้อาหารหรือไม่ และติดตามอาการแพ้อาหารว่าดีขึ้นแล้วยัง โดยให้ผลเป็นตัวเลขชัดเจน โดยทั่วไปการตรวจวิธีนี้จะทราบผลภายใน 1-2 สัปดาห์
 
5.3 การทดสอบโดยวิธี oral food challenge หรือโดยวิธีรับประทานอาหาร
หลักการคือให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่สงสัยว่าแพ้ โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้นทุก 20-30 นาที โดยวิธีนี้ควรทำในโรงพยาบาล อยู่ภายใต้การดูและของแพทย์ภูมิแพ้ และเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตให้พร้อม เนื่องจากอาจเกิดอาการภูมิแพ้ชนิดรุนแรงได้
คนที่ควรทดสอบโดยวิธีนี้คือ
  • คนที่เคยมีประวัติว่าแพ้อาหารมาก่อน และงดอาหารมาสักระยะ และต้องการดูว่าอาการหายแล้ว ซึ่งก่อนทำควรเจาะเลือดหรือทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังก่อนว่าแพ้ลดลงแล้ว
  • คนที่สงสัยว่าแพ้อาหาร แต่อาการและผลทดสอบอื่นๆ ให้ผลไม่ชัดเจน
  • คนที่ผลทดสอบจากเลือดและผิวหนัง ขึ้นหลายอย่าง แล้วไม่มั่นใจว่าแพ้ตัวไหน
  • คนที่จะเข้ารับการรักษาภาวะแพ้อาหารโดยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัด (oral immunotherapy)

ส่วนการตรวจเลือดวัดระดับ IgG ต่ออาหารนั้นอาจไม่ได้บอกชัดเจนว่าแพ้อาหารชนิดนั้นหรือไม่ เพราะในคนปกติที่ไม่แพ้อาหารก็สามารถมีค่าระดับ IgG ในเลือดที่สูงได้ เนื่องจากในคนปกติมีค่า IgG ที่สูงได้อยู่แล้ว ต่างจาก IgE ในเลือดซึ่งมักจะสูงในคนที่เป็นภูมิแพ้ ดังนั้นการแปลผลในเลือดที่วัดระดับ IgG อาจต้องอาศัยประวัติร่วมด้วย และในกรณีที่สงสัยอาหารชนิดนั้น ควรยืนยันด้วยการทดสอบแพ้อาหารโดยวิธีรับประทาน (oral challenge) กรณีที่มีค่า IgG ต่ออาหารที่สูง ไม่แนะนำให้งดอาหารหลายชนิดโดยไม่จำเป็น จนกว่าจะพิสูจน์แน่ชัดว่าแพ้อาหารหรือไม่ เพราะอาจทำให้ขาดสารอาหารได้



เรียบเรียงโดย : ศ.ดร. พญ.อรพรรณ โพชนุกูล
กุมารแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา
 
 
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:

แก้ไขล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2565

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

Related Health Blogs