โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่พบในสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โรคสามารถแพร่จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว ไปสู่คนได้จากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสกัดหรือข่วน หลังได้รับเชื้อมักไม่ปรากฏอาการใดๆ โดยอาการมักเกิดหลังจากถูกกัดประมาณ 7 วันหรือเป็นเดือน ตัวอย่างอาการที่เกิด ได้แก่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย มีไข้ หงุดหงิด กระวนกระวาย และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด
ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ในปี 2561 พบตัวอย่างส่งตรวจที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าถึงร้อยละ 15 ซึ่งพบในสุนัขมากที่สุด รองลงมาคือโคและแมวตามลำดับ
ท่านสามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้อย่างไร?
การป้องกันตนเองที่สามารถทำได้ง่ายที่สุดคือ การไม่ถูกสัตว์กัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ไม่รู้จัก นอกจากนี้ ท่านสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาล
เมื่อไหร่ที่ท่านควรรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า?
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามี 2 วัตถุประสงค์ คือ ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค
ก่อนการถูกสัตว์กัด และฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค
หลังถูกสัตว์กัด การฉีดวัคซีนทั้ง 2 แบบ มีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้
1. ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค (ยังไม่ได้สัมผัสสัตว์หรือถูกสัตว์กัด)
แนะนำในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกสัตว์กัด เช่น สัตวแพทย์ บุรุษไปรษณีย์ หรือผู้ที่จะเดินทางในพื้นที่ที่พบโรคพิษสุนัขบ้า โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง จำนวนทั้งหมด 3 เข็ม ได้แก่
เข็มที่ 1 |
เข็มที่ 2 |
เข็มที่ 3 |
วันที่ต้องการฉีด |
หลังจากเข็มแรก 7 วัน |
หลังจากเข็มแรก 21-28 วัน |
สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคก่อนเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือมีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนจนครบ 3 เข็ม ก่อนกำหนดการเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูงถึงระดับที่สามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้
2. ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหลังสัมผัสหรือถูกสัตว์กัด
ท่านควรล้างบาดแผลให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำทันทีหลังถูกสัตว์กัดและรีบไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการฉีดวัคซีน
- กรณีที่ท่านไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 4 เข็ม หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังจำนวน 3 เข็ม และพิจารณาการฉีดอิมมูโนโกลบูลินร่วมด้วย
วิธีการฉีด |
เข็มที่ 1 |
เข็มที่ 2 |
เข็มที่ 3 |
เข็มที่ 4 |
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ |
วันแรกที่มาโรงพยาบาล |
หลังจากเข็มแรก 3 วัน |
หลังจากเข็มแรก 7 วัน |
หลังจากเข็มแรก 14-28 วัน |
ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง |
วันแรกที่มาโรงพยาบาล |
หลังจากเข็มแรก 3 วัน |
หลังจากเข็มแรก 7 วัน |
- |
นอกจากนี้แนวทางการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้ออาจพิจารณาให้จำนวน 5 เข็ม ในวันที่ 0, 3, 7, 14 และ 28 หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังจำนวน 4 เข็ม ในวันที่ 0, 3, 7 และ 28 ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
- กรณีที่ท่านเคยรับวัคซีนครบ 4 หรือ 5เข็มมาก่อน แล้วมาสัมผัสหรือถูกสัตว์กัด แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง 2 เข็ม โดยไม่จำเป็นต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลินร่วมด้วย
เข็มที่ 1 |
เข็มที่ 2 |
วันแรกที่มาโรงพยาบาล |
หลังจากเข็มแรก 3 วัน |
ทั้งนี้ควรมารับวัคซีนตรงตามกำหนดนัดตามสูตรการฉีดวัคซีน ในกรณีที่ไม่สามารถมาตามนัดแนะนำให้ปรึกษาและปฏิบัติตามคำแนะคำของแพทย์
อิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) คืออะไร?
การฉีดอิมมูโนโกลบูลินเป็นการให้ภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้าหลังโดนสัตว์กัด โดยอิมมูโนโกลบูลินสามารถทำลายเชื้อไวรัสบริเวณแผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังฉีด หากแพทย์พิจารณาฉีดอิมมูโนโกลบูลินร่วมกับการให้วัคซีน จำเป็นต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลินโดยเร็วที่สุดและฉีดเพียงครั้งเดียว โดยฉีดบริเวณในและรอบบาดแผล ขนาดที่ให้ปรับตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย
อิมมูโนโกลบูลินที่ใช้ในปัจจุบันมี 2 ชนิด แตกต่างกัน คือ
- อิมมูโนโกลบูลินที่ผลิตจากซีรั่มของมนุษย์ (Human rabies immunoglobulin: HRIG)
- อิมมูโนโกลบูลินที่ผลิตจากซีรั่มของม้า (Equine rabies immunoglobulin: ERIG) ก่อนการพิจารณาให้อิมมูโนโกลบูลินชนิดนี้ ต้องทดสอบการแพ้ทางผิวหนังก่อนทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีผื่นคันหรือลมพิษขึ้นตามตัว ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย
อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามีอะไรบ้าง?
อาการข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน พบในผู้ป่วยบางราย แบ่งตามอาการแสดงได้ดังนี้
ระดับความรุนแรง |
อาการแสดง |
อาการไม่รุนแรงและพบได้บ่อย |
ปวด บวม คันบริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ เวียนศีรษะ |
อาการปานกลาง |
ลมพิษ ปวดข้อ มีไข้ (พบ 6% ในการฉีดเข็มกระตุ้น) |
อาการรุนแรง |
พบได้น้อยมาก เช่น ไข้สูง หายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี้ด โดยเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่นาทีถึง 2-3 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีน หากพบอาการเหล่านี้ควรแจ้งแพทย์หรือพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ทันที |
หากท่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ข้อมูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตลอด 24 ชั่วโมง
Reference:
- The Centers for Disease Control and Prevention. Rabies vaccine: What You Need to Know. Available from: https://www.cdc.gov/vaccines/hcp/vis/vis-statements/rabies.html [Accessed 6 March 2019].
- World Health Organization (WHO). Rabies Vaccines and Immunoglobulins: WHO Position April 2018. Available from: https://www.who.int/immunization/policy/position_papers/pp_rabies_summary_2018.pdf?ua=1 [Accessed 6 March 2019].
- พญ.พักต์เพ็ญ สิริคุตต์ (2018) โรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย, Available at: http://www.pidst.or.th/A659.mobile (Accessed: 20 Mar 2019).
- เพ็ญศิริ ดวงอุดม. กรมปศุสัตว์รายงานสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า ณ วันที่ 6 มี.ค.62(178/2562)', ข่าวปศุสัตว์.
- คลินิกป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า สถานเสาวภา สภากาชาดไทย. แนวทางการดูแลรักษาผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า สถานเสาวภา สภากาชาดไทย พ.ศ.2561 และคำถามที่พบบ่อย. สถานเสาวภา สภากาชาดไทย. กันยายน 2561
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 14 ตุลาคม 2566