คุณ Tin May Lwin เป็นอดีตศาสตราจารย์ที่ The University of Computer Studies, Yangon (UCSY) จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2001 ร่างกายของเธอเริ่มมีความผิดปกติ ซึ่งตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเพียงฝีบริเวณด้านข้างเต้านม จึงได้รับประทานและทายาสมุนไพรพื้นบ้าน ในช่วงแรกนั้นก้อนเนื้อก็ยุบลงและก็เกิดขึ้นมาอีก เป็นๆหายๆ อยู่ประมาณ 1 ปี จนในที่สุดเพื่อนของเธอที่เป็นศัลยแพทย์ ได้แนะนำให้เธอเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด จนพบว่าตัวเธอป่วยด้วย
โรคมะเร็งเต้านม
แน่นอนว่าการเป็นมะเร็งของเธอนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ จนทำให้เธอต้องออกจากงาน แต่จริงๆแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น ด้วยความคิดที่ว่าตัวเธอเองไม่ได้ป่วย “ช่วงแรกๆที่มีเนื้อแข็งเกิดขึ้นมา และมีน้ำไหลออกมาตลอดเวลานั้น ฉันคิดว่ามันเกิดความผิดปกติขึ้นกับฉันแล้ว จนเมื่อเพื่อนที่เป็นหมอแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล และหมอแจ้งว่าฉันเป็นมะเร็งที่เต้านม
เอาจริงๆฉันแค่แปลกใจว่าเราเกิดความผิดปกติขึ้น เรากำลังเผชิญกับโรคร้ายอยู่นะ แต่ฉันกลับไม่คิดและกดดันตัวเองเลย ว่าเรากำลังป่วย เรากำลังเป็นมะเร็ง เพราะรู้ดีว่าเราต้องหายแน่นอน” เธอเล่าถึงความคิดแง่บวกของเธอ
ช็อปปิ้งคือไลฟ์สไตล์ที่ขาดไม่ได้ แม้จะป่วยอยู่ก็ตาม
“เพื่อนของฉันแนะนำเลยว่าต้องมารักษาที่ประเทศไทยนะ นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกดีเป็นเท่าตัว เพราะอย่างแรกฉันเคยได้ยินชื่อเสียงในการรักษาที่ดีมากของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อยู่แล้ว อันนี้หายห่วง อีกเรื่องคือกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ฉันชอบมากๆ ฉันชอบมาเที่ยว ชอบการช้อปปิ้ง” ความคิดที่มาพร้อมรอยยิ้มและแสดงความเป็นตัวตนของเธออย่างชัดเจน
แต่แน่นอน ถึงแม้ว่าเธอจะทำตัวเองให้ดูมีความสุขในระหว่างการรักษา แต่ก็มีอุปสรรคอยู่พอสมควร หนึ่งในนั้นคือการลุกลามของเซลล์มะเร็งไปที่บริเวณกระดูก ซึ่งคุณหมอวินัย อริยประกาย อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ประจำ
ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน ได้ตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และพบว่ามะเร็งได้ลุกลามมาในส่วนของต่อมน้ำเหลือง รวมทั้งยังกระจายไปที่กระดูกอีกด้วย ตอนนั้นก็ตกใจ แต่ยังคงมีสติอยู่ และบอกกับตัวเองเสมอว่ายังไงก็ต้องรักษาหาย”
ขั้นตอนการรักษาที่แม้จะสูญเสียแต่ได้ความสุขกลับคืน
“ระหว่างการรักษานั้น ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างดีทุกอย่าง มีความเป็นมืออาชีพมากๆ แม้แต่พยาบาลที่คอยดูแล หรือล่ามที่คอยให้การสื่อสารที่ตรงประเด็น ทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นมาก” คุณ Tin May Lwin เล่าถึงการรักษาของเธอ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด 3 cycle และต้องเปลี่ยนสูตรยาถึง 3 ครั้ง จนอาการคงที่ จึงทำการผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้ง “ฉันตัดสินใจที่จะรักษาอย่างเต็มที่ คุณหมอแนะนำอะไร ก็มั่นใจในคำแนะนำนั้นตลอดมา ซึ่งคุณหมอได้ทำการขูดเนื้อร้ายตรงหน้าอกออก และทำการฉายแสงควบคู่ไปด้วย แต่ทำยังไงเนื้อส่วนนั้นก็ไม่ขึ้น เป็นหลุมแหว่งลงไป สุดท้ายคุณหมอตัดสินใจให้ทำ Skin Graft โดยใช้เนื้อส่วนสะบักหลัง แต่ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้ส่วนหน้าท้องแทน ซึ่งระหว่างการทำ Graft นั้น เต้านมอีกข้างก็จำเป็นต้องตัดทิ้งด้วย”
จิตใจที่ดี ไม่กดดัน ทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติก่อนป่วย
การมีกำลังใจที่ดี มีจิตใจดี และต่อสู้กับโรคโดยไม่กดดันตัวเองนั้น ช่วยส่งผลที่ดีต่อการรักษาโรคมะเร็งมาก ทำให้เธอในวันนี้อาการของโรคสงบและมีความสุขในการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน “
ฉันรู้สึกว่าจิตใจสำคัญมากในการรักษา ถ้าคิดว่าเราจะหาย ก็ทำให้หายได้ แต่เชื่อไหมว่า หากเราคิดว่าตัวเราทำไม่ได้ มันก็ส่งผลต่อการรักษาด้วย” เธอพูดพร้อมหัวเราะด้วยอารมณ์แกมขบขำ
“ฉันเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้จะป่วยเป็น
โรคหัวใจล้มเหลว และยังเป็น
เบาหวานลงไตด้วย ก็ไม่ทำให้ความสุขของฉันที่มีลดลงเลย เชื่อหรือเปล่าว่าช่วงที่ฉันพักฟื้นจากการรักษาโรคมะเร็งนี้ ฉันยังร้องขอให้พยาบาลพาฉันไปเดินช็อปปิ้งแถวๆโรงพยาบาลอยู่เลย”
สิ่งหนึ่งที่เธออยากบอกทุกๆ คนที่กำลังเผชิญกับโรคมะเร็งอยู่นั้น คือ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นตัวเองป่วยมะเร็ง ทำใจให้ได้เร็วที่สุด ไม่ต้องนึกถึงโรค และทำตามที่คุณหมอแนะนำทุกอย่าง นี่คือเคล็ดลับที่เธอได้ฝากทิ้งท้ายไว้ และยังกล่าวย้ำก่อนจบการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยว่า เธอเพิ่งกลับจากการเดินทางไปท่องเที่ยวและช้อปปิ้งที่ยุโรป
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2565