อาการปวดท้องในเด็กเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลำไส้อักเสบท้องอืด แก๊ส อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในเด็กทุกวัย อย่างไรก็ตามหากเด็กบ่นว่ามีอาการปวดท้องบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดท้องก่อนที่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้น
ภาวะปวดท้องเรื้อรังหมายความว่าอย่างไร
ภาวะปวดท้องเรื้อรัง คือ อาการปวดท้องนานกว่า 3 เดือน อาจปวดแบบเป็นๆหายๆหรือปวดเรื้อรัง ซึ่งสามารถเกิดจากโรคที่ไม่รุนแรง เช่น ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ไปจนถึงการเป็นโรคที่รุนแรง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
มะเร็งลิมโฟมา นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น
ปวดท้องเรื้อรังอย่างไรจึงควรมาพบแพทย์
- อาการปวดท้องเกิดขึ้นบ่อยจนต้องหยุดโรงเรียน
- กินอาหารได้น้อยลง น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์
- น้ำหนักลด
- มีการขับถ่ายที่ผิดปกติไป เช่น ท้องผูกหรือท้องเสีย
อาการปวดท้องเรื้อรังเป็นอย่างไร
ปวดท้องเรื้อรังมีอาการแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ปวดและสาเหตุของการปวดท้องซึ่งเด็กอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น
- คลำพบก้อนก้อนในช่องท้อง
- ท้องอืดบวมผิดปกติ
- เลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด
- อ่อนเพลีย
- มีไข้
- น้ำหนักลด ทานอาหารได้ลดลง ความอยากอาหารลดลลง
- ตัวเหลือง
- มีแผลที่ก้น หรือในช่องปาก
- ซีด
สาเหตุของอาการปวดท้องเรื้อรังมีอะไรบ้าง
อาการปวดท้องเรื้อรังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจากความผิดปกติทางร่างกายหรือปัจจัยด้านจิตใจ ดังนี้
- ท้องผูก
- ท้องเสีย เช่น จาการติดเชื้อ ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้(Lactose intolerance)
- ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease, IBD)
- ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome, IBS)
- การเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารผิดปกติ เช่น มีแก๊สหรือมีการย่อยที่ผิดปกติ
- กระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร
- โรคตับอ่อนอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
- โรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหารหรือลำไส้ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
- ปวดท้องจากสาเหตุด้านจิตใจ เช่น ความเครียดจากปัญหาที่โรงเรียนหรือที่บ้านหรือต้องการเรียกร้องความสนใจ
วินิจฉัยได้อย่างไร
แพทย์วินิจฉัยโดยการซักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไป ดูการเจริญเติบโตของเด็กและพิจารณาตามประวัติบ่งชี้ว่าต้องตรวจร่างกายเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง เช่น
- การทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้องเพื่อดูความผิดปกติในช่องท้อง เช่น ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี เนื้องอกในช่องท้อง
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT Scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในช่องท้องอย่างละเอียดชัดเจน ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ
- การส่องกล้องทางเดินอาหาร เพื่อวินิจฉัยอาการผิดปกติในท่อทางเดินอาหาร เช่น การอักเสบเป็นแผลและเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อ เนื้องอก นอกจากนี้ยังสามาถสามารถตัดชิ้นเนื้อหรือเยื่อบุทางเดินอาหารที่สงสัยไปตรวจเพิ่มเติม และสามารถให้การรักษาผ่านทางการส่องกล้องได้อีกด้วย
- เจาะเลือดเพื่อดูการอักเสบและแพ้อาหารในกรณีที่สงสัย
- การตรวจอุจจาระหาการติดเชื้อ การตรวจพิเศษทางอุจจาระที่บ่งชี้ถึงการอักเสบในลำไส้และภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำมากขึ้น
- การเป่าลมหายใจเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร และเป่าลมหายใจเพื่อตรวจหาภาวะการย่อยน้ำตาลแลคโตสฟรุกโตสที่ไม่สมบูรณ์
การรักษาและการป้องกัน
เบื้องต้นสามารถป้องกันได้ด้วยสุขอนามัยที่ดี เช่น กินร้อน ใช้ช้อนกลาง กินอาหารครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ
สำหรับการรักษาแพทย์จะรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ ซึ่งส่วนใหญ่รักษาไม่ยากหากทราบสาเหตุที่แท้จริง
เรียบเรียงโดย
ศุนย์กุมารเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 08 มีนาคม 2567