สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน แพทย์มักจะมีการเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลอยู่ประจำ นอกจากนี้แพทย์มักจะมี
การตรวจค่าการทำงานของไตจากการเจาะเลือดด้วย เรียกว่า Creatinine ซึ่งถ้ายิ่งสูง ยิ่งแปลว่าการทำงานของไตต่ำ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าถ้าค่า creatinine ปกติ แปลว่าไตยังไม่โดนกระทบจากเบาหวาน แต่ทว่าประโยคนี้ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป เพราะสำหรับ
โรคไตวายเรื้อรังจากเบาหวาน ถ้าพบความผิดปกติของค่า creatinine แล้ว มักจะแปลว่าไตได้รับผลกระทบจากเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว
วิธีที่จะตรวจหาผลกระทบทางไตจากโรคเบาหวานที่มีความไวกว่าการเจาะเลือดตรวจ ก็คือ การตรวจหาโปรตีนไข่ขาว (Albumin) ในปัสสาวะ
ในภาวะที่ไตทำงานปกติ ไตจะมีความสามารถในการกักเก็บโปรตีนไม่ให้รั่วออกมาในปัสสาวะ (หรือรั่วออกมาในปริมาณน้อยมากๆ ที่ไม่เกินเกณฑ์) แต่ถ้าหากพบโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะในปริมาณที่เกินเกณฑ์ปกติ ก็อาจแปลว่าไตกำลังได้รับผลกระทบจากเบาหวานแล้ว
หลายๆคนเข้าใจผิด ว่าการตรวจปัสสาวะทั่วไป หรือที่เรียกว่า Urinalysis นั้น เพียงพอสำหรับการคัดกรองผู้ที่มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ แต่ที่จริงแล้ว ผู้ป่วยต้องมีโปรตีนรั่วออกมามากระดับหนึ่งถึงจะแสดงให้เห็นความผิดปกติใน Urinalysis ได้ สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจคือ การตรวจหา albumin ในปัสสาวะเชิงปริมาณ (urine microalbumin) ซึ่งการตรวจแบบนี้ ปริมาณโปรตีนที่ออกมาจะแสดงออกมาเป็นตัวเลขเลย เช่น 50 mg/gCr, 100 mg/gCr ซึ่งละเอียดกว่า Urinalysis ที่มักจะแสดงผลเพียงแค่ 1+, 2+, 3+
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีค่า creatinine ที่ผิดปกติไปแล้ว แพทย์ก็ต้องดู
ข้อมูลอื่นๆร่วมด้วยเพื่อจะวินิจฉัยว่าการทำงานของไตที่ลดลงนั้นน่าจะเป็นจากโรคเบาหวานหรือสาเหตุอื่น ตัวอย่างเช่น ความฉับพลันของค่า creatinine ที่ผิดปกติ (ถ้าผู้ป่วยเพิ่งมีค่า creatinine ที่ผิดปกติ ในขณะที่ไม่กี่วันที่แล้วยังปกติอยู่ ก็ไม่น่าจะเป็นจากโรคเบาหวาน เพราะไตเรื้อรังจากเบาหวาน เป็นโรคที่ใช้เวลานานในการเกิด) ระดับน้ำตาลที่คุมได้ในอดีต (ดูว่าระดับน้ำตาลในอดีตที่ผ่านมานั้นสูงสมเหตุสมผลกับค่าไตที่ผิดปกติหรือไม่) หรือผู้ป่วยมีภาวะเบาหวานกระทบจอประสาทตาร่วมด้วยหรือไม่ (ถ้ามี ก็ทำให้ความเป็นไปได้ของโรคไตเรื้อรังจากเบาหวานมีมากขึ้น) ทั้งนี้ถ้าข้อมูลที่ได้ ไม่ได้บ่งชัดเจนหรือฟังดูไม่เข้ากับภาวะไตเรื้อรังจากเบาหวาน แพทย์อาจจะต้องมีการพิจารณาหาสาเหตุอื่นๆของการทำงานลดลงของไตต่อไปด้วยวิธีอื่นๆ