สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ และปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้
- ปัจจัยเสี่ยงด้านกายภาพของปัสสาวะ
ลักษณะทางกายภาพบางประการของปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสสูงขึ้นที่จะเกิดนิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ ตัวอย่างเช่น ปริมาณปัสสาวะที่น้อย ปริมาณแคลเซียมที่สูงในปัสสาวะ ปริมาณกรดยูริกที่สูงในปัสสาวะ ปริมาณสารออกซาเลตที่สูงในปัสสาวะ ปริมาณสารซิเตรทที่ต่ำในปัสสาวะ การที่ปัสสาวะอยู่คงที่เดิมเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ค่า pH ของปัสสาวะบางระดับยังก่อให้เกิดนิ่วชนิดต่างๆ แตกต่างกันได้
- ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากการบริโภคอาหาร
การบริโภคอาหารหรือสารบางชนิดสามารถทำให้โอกาสการเกิดนิ่วในไตมีเพิ่มขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น การบริโภคน้ำน้อย การบริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอ การบริโภคโพแทสเซียมไม่เพียงพออาจนำมาสู่การก่อนิ่วแคลเซียมได้ ในขณะที่การบริโภคอาหารที่มีสารออกซาเลตมาก โซเดียมมาก และวิตามินซีมาก สามารถก่อให้เกิดนิ่วแคลเซียมตามมาได้
การบริโภคเนื้อสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ปีก และเครื่องในปริมาณมาก อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วจากกรดยูริกได้
ยาบางประเภทสามารถเพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วได้ เช่น topiramate, acetazolamide, indinavir, triamterene
- ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ตัวอย่างเช่น
โรคเกาต์ โรคต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (hyperparathyroidism)
โรคเบาหวาน โรคลำไส้หรือการผ่าตัดลำไส้บางประเภท เช่น short gut syndrome, inflammatory bowel disease, bowel resection, gastrointestinal bypass surgery
โรคไตบางชนิด การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
โรคอ้วน โรค cystinuria
- ปัจจัยทางด้านพันธุกรรมและประวัติครอบครัว