bih.button.backtotop.text

ไขข้อสงสัย… กับโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม คืออะไร?

โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee osteoarthritis) คือ ภาวะที่ข้อเข่าเกิดการเสื่อมสภาพลง ซึ่งเป็นผลมาจากกระดูกอ่อนผิวข้อ (Articular cartilage) เกิดการสึกกร่อนอย่างต่อเนื่องตามเวลาที่ผ่านไป หรือขอบกระดูกในข้อ (Subchondral bone) เกิดการหนาตัวขึ้น รวมถึงน้ำในไขข้อ (Synovial fluid) ที่เป็นตัวช่วยในการหล่อลื่นข้อนั้นลดลง ส่งผลให้เกิดอาการปวดตามมา


อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม มีอะไรบ้าง?

สัญญาณและอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมีได้หลายแบบ ดังนี้
  1. อาการปวด (Pain) อาการปวดแบบตื้อๆ บริเวณข้อ มักเป็นเรื้อรังและมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานหรือลงน้ำหนักบนข้อนั้นๆ อาการมักทุเลาลงเมื่อมีการนั่งพักหรือหยุดใช้งาน หากการดำเนินโรครุนแรงขึ้นอาจทำให้ปวดตลอดเวลาแม้กลางคืนหรือขณะพัก
  2. ข้อฝืด (Stiffness) พบได้บ่อย มักเป็นตอนเช้าหลังตื่นนอน แต่มักมีอาการไม่เกิน 30 นาที อาการฝืดอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในช่วงแรกของการเคลื่อนไหวหลังจากพักเป็นเวลานาน
  3. ข้อบวม ผิดรูป (Swelling/deformity) บางรายอาจพบข้อบวมและขาผิดรูปร่วมด้วย
  4. มีเสียงดังกรอบแกรบ (Crepitus) ในข้อเข่า ขณะที่มีการขยับ เคลื่อนไหวของเข่า
  5. สูญเสีย การเคลื่อนไหวและการทำงาน ผู้ป่วยมีอาการเดินไม่สะดวก
 

โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากสาเหตุอะไร?

โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่ข้อเข่าตามอายุ แต่อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ ดังนี้
  • อายุ – อายุที่มากขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น
  • เพศ – โรคข้อเข่าเสื่อมพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และส่วนมากเป็นผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว
  • กรรมพันธุ์
  • อาการบาดเจ็บของข้อเข่า – อาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุทั้งครั้งคราวและเรื้อรังที่ข้อ เส้นเอ็น หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับข้อเข่า เช่น รูมาตอยด์ เก๊าท์ อาจส่งผลทำให้เข่าเสื่อมสภาพได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีอาการบาดเจ็บ
  • น้ำหนัก – น้ำหนักตัวมีความสัมพันธ์กับเข่าในด้านของการรับน้ำหนักตัว หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงที่กระทำต่อข้อเข่าประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม ทำให้ข้อเข่ามีโอกาสเสื่อมเร็วขึ้น
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ – เนื่องจากบริเวณเข่ามีกล้ามเนื้อคอยพยุงและสร้างความมั่นคงให้อยู่ ถ้าหากกล้ามเนื้อนี้แข็งแรงไม่มากพออาจส่งผลให้ข้อเข่าได้รับความเสียหายและเสี่ยงที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้ในอนาคต
  • การใช้งาน – การใช้งานข้อเข่าจากกิจกรรมต่างๆ ลักษณะท่าทางของการเคลื่อนไหว เช่น การนั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยองๆ เดิน-วิ่งขึ้นลงบันไดบ่อยๆ กระโดด หรือกิจกรรมที่มีแรงกดกับข้อเข่ามากๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมในอนาคตได้
 

เราสามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้อย่างไร?

การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม สามารถแบ่งตามรูปแบบการรักษาได้เป็น 2 แบบ คือ
 
  1. การรักษาแบบไม่ใช้ยา
 
การออกกำลังกาย
  • ออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง เช่น อายุ ความรุนแรงของโรค ความสามารถในการขยับ และโรคร่วมอื่นๆ
  • การออกกำลัยกายเบื้องต้นที่แนะนำ ได้แก่ การเดิน การปั่นจักรยาน หรือการเดินในน้ำ ควบคู่ไปกับการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา
  • ในผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรงปานกลาง-มาก แนะนำให้ออกกำลังกายในน้ำเพียงอย่างเดียว เนื่องจากน้ำจะช่วยพยุงน้ำหนักตัวและลดแรงที่จะกระทำต่อเข่าลง ทำให้ปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายแบบอื่น
การลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักเป็นการลดแรงกดที่มีต่อข้อเข่าลง ซึ่งเป็นการทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ดังนั้น ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การใช้ผ้ารัดเข่า ใช้เมื่อแพทย์มีความเห็นสมควร เพราะการใช้ผ้ารัดเข่าอาจทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการที่ไม่ได้ถูกใช้งานได้
การใช้ไม้เท้า หากมีการเคลื่อนไหวที่จำกัด หรือมีประวัติเคยล้มมาก่อน การใช้ไม้เท้าอาจช่วยลดแรงกดที่มีต่อเข่าและช่วยให้เคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยในเรื่องของอาการปวดมากนัก
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ในรายที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมอาจถูกนำมาพิจารณาเป็นทางเลือกในการรักษา เพื่อลดอาการปวด เพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น


2. การรักษาแบบใช้ยา
กลุ่มยาบรรเทาอาการปวด ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถลดการอักเสบได้ ได้แก่ Paracetamol ซึ่งนิยมใช้เป็นยาทางเลือกแรก หรือ Tramadol ที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดได้ดี แต่อาจมีผลข้างเคียงได้มาก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มึนงงศีรษะ
กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs; NSAIDs)
ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้ เช่น Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac, Meloxicam, Celecoxib, Etoricoxib ในผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรงน้อย จะแนะนำให้ใช้ยา NSAIDs ชนิดทาภายนอก มากกว่าชนิดรับประทาน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยาชนิดรับประทาน เช่น ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น มีผลเสียต่อไตสูงในผู้ป่วยที่มีโรคไตร่วม รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ชนิดยาชนิดรุนแรงได้
กลุ่มยาทาเฉพาะที่ นอกจากยาชนิดรับประทานแล้ว ยาทาเฉพาะที่ก็สามารถนำมาใช้รักษาอาการปวดร่วมกันได้ เช่น
  • Capsicin ซึ่งเป็นสารสกัดจากพริก มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวด แต่อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณที่ทาได้
  • NSAIDs ชนิดทาภายนอก เช่น Diclofenac, Ketoprofen, Nimesulide
กลุ่มยาทาบรรเทาอาการปวด เช่น Methyl salicylate
กลุ่มยาฉีดเข้าข้อ ส่วนมากใช้ในผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรงที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล โดยแพทย์จะพิจารณาว่าสมควรใช้ทางเลือกนี้มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างยาที่นำมาฉีดเข้าข้อ ได้แก่ ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Triamcinolone, Methylprednisolone, Betamethasone) และ Hyaluronic acid
กลุ่มยาชะลอการเสื่อมของข้อ (Symptomatic slow-acting drug of osteoarthritis; SYSADOA) ยากลุ่มนี้ ได้แก่ Glucosamine, Chondroitin, Diacerein ถูกนำมาใช้เพื่อชะลอการเสื่อมของข้อ อย่างไรก็ดี ฤทธิ์ในการลดการอักเสบและบรรเทาปวดของยากลุ่มนี้ยังไม่ชัดเจน  โดย Glucosamine และ Chondroitin นั้น สามารถพบได้ทั้งที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาและอาหารเสริม
 
 

การป้องกันการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม ทำอย่างไรได้บ้าง?

การปรับพฤติกรรมบางอย่าง หรือหลีกเลี่ยงสาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อมดังที่กล่าวไปข้างต้น เช่น ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขา หลีกเลี่ยงท่าทาง/การเคลื่อนไหวที่มีแรงกดข้อเข่ามากๆ หรือหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อเข่าค่อนข้างสูง นอกจากนี้ การใช้ยาหรืออาหารเสริมอย่างเหมาะสมถูกวิธีตามที่แพทย์สั่ง จะช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้


หากท่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ข้อมูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตลอด 24 ชั่วโมง


Contact information: Drug Information Service ศูนย์ข้อมูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
Tel: +66(0) 2 011 3399 Email: [email protected]
 
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
แก้ไขล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2565

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

Related Health Blogs